หลายคนคงสงสัยว่า ค่าความดันปกติ ของคนเรานั้นอยู่ที่เท่าไหร่ถึงจะถือว่าดี

การวัดค่าความดันโลหิต

ทำไมต้องวัดค่าความดันโลหิต เป็นอีกหนึ่งคำถามที่เรามักจะพบกันบ่อย ๆ เพราะทุกครั้งที่เราเข้ารับการรักษาพยาบาลมักจะมีการวัดค่าความดันทุกครั้งทั้งที่เราไม่ได้เป็นผู้ป่วยโรคความดัน ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่าการวัดค่าความดันถือเป็นสิ่งสำคัญเพื่อที่เราจะได้ทราบว่าค่าความดันของร่างกายในขณะนั้นมีความปกติหรือไม่ โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีการวัดความดันกับผู้ป่วยความดันโลหิตสูง และหลายคนมักจะวัดค่าความดันด้วยตนเองง่าย ๆ ที่บ้าน วันนี้เราเลยมีความรู้เกี่ยวกับการวัดความดันที่ถูกต้องมาฝาก ไปดูกันว่าการวัดค่าความดันปกตินั้นเป็นอย่างไรจึงจะถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี 

ค่าความดันปกติ ของคนทั่วไปนั้นอยู่ที่เท่าไหร่

โดยส่วนใหญ่แล้วจะพบว่าหลายคนนิยมใช้ เครื่องวัดความดันโลหิตแบบดิจิตอล เนื่องจากสามารถใช้งานได้ง่าย มีการ อ่านค่าความดันโลหิตที่ชัดเจนเข้าใจง่ายและมีความแม่นยำสูง โดยค่าความดันปกติของคนแต่ละช่วงวัยจะมีดังนี้

• ผู้ชายและผู้หญิงในช่วงวัยทำงาน ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ไม่ควรเกิน 140/90 มิลลิเมตรปรอท
• ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ไม่ควรเกิน 160/90 มิลลิเมตรปรอท
• เด็กโต 7-17 ปี ไม่ควรเกิน 120/80 มิลลิเมตรปรอท
• เด็กเล็ก ไม่ควรเกิน 3-6 ปี ไม่ควรเกิน 110/70 มิลลิเมตรปรอท
• วัยทารก ไม่ควรเกิน 90/60 มิลลิเมตรปรอท

ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าในแต่ละช่วงวัยนั้นจะมีค่าความดันที่แตกต่างกันออกไป เพราะฉะนั้นความดันปกติของทุกคนจะไม่เท่ากันหากช่วงวัยไหนที่มีความดันมากกว่าที่กำหนด นั่นหมายความว่าคุณกำลังมีภาวะความดันสูง นอกจากนี้หากมีการออกกำลังกายหรือไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไรมาก็ตามก็มีผลให้ความดันเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งสิ่งสำคัญเลยก็คือไม่ควรปล่อยให้ความดันสูงจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพและร่างกายได้ 

ทำไมควรวัดให้ได้ ค่าความดันปกติ ค่ามากเกินอันตรายแค่ไหน

โรคความดันโลหิตสูง เป็นโรคที่เกิดขึ้นกับใครหลาย ๆ คนโดยที่ไม่รู้ตัว เนื่องจากไม่มีการแสดงอาการที่ชัดเจน และถือเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้คือการรักษาและป้องกันไม่ให้อยู่ในภาวะเสี่ยง เพราะจะทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิต อย่างที่เรารู้กันดีอยู่แล้วว่าค่าความดันปกติของร่างกายนั้นจะอยู่ที่ 120/80 มิลลิเมตรปรอท ซึ่งเป็นค่ามาตรฐานความดัน แต่เมื่ออยู่ในภาวะความดันสูงจะมีค่าความดันอยู่ที่ตั้งแต่ค่าตัวบน 120-129 มิลลิเมตรปรอท และมีค่าความดันตัวล่างต่ำกว่า 80 มิลลิเมตรปรอท และหากค่าความดันสูงกว่าจะส่งผลเสียต่อร่างกายทันที เช่น อวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายจะมีการถูกทำลาย หรืออาจจะเกิดภาวะโรคแทรกซ้อนขึ้นได้ เช่น ไตวาย หัวใจ และอื่น ๆ เป็นต้น

แนะนำวิธีรับมือ หากมีค่าความดันโลหิตที่มีค่าสูงเกินไป

เมื่อร่างกายมีความผิดปกติจากค่าความดันปกติ สิ่งแรกที่จะต้องทำทันทีคือพยายามให้ค่าความดันกลับมาเป็นปกติ เพราะหากปล่อยไว้นาน ๆ จะทำให้ส่งผลกระทบต่อร่างกายได้ ซึ่งหากพบว่าร่างกายมีค่าความดันผิดปกติหรืออยู่ในภาวะความดันสูง เราสามารถรับมือได้ด้วยวิธีง่าย ๆ ดังนี้

1. เลือกทานอาหารลดความดันโลหิตสูงและควรงดอาหารที่ส่งผลให้ความดันโลหิตสูง เช่น ไขมัน เครื่องดื่มแอลกอฮฮล์ เป็นต้น
2. เมื่อไหร่ก็ตามที่มีอาการความดันโลหิตสูง ควรพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะการพักผ่อนจะทำให้ความดันกลับมาอยู่ในภาวะที่ปกติได้ ทั้งนี้การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอก็เป็นอีกหนึ่งวิธีดูแลไม่ให้เกิดความดันสูงบ่อย ๆ ได้ด้วย แต่ควรเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสม และไม่ควรหักโหมจนเกินไป
3. หมั่นดูแลเรื่องของสุขภาพจิต ไม่ปล่อยให้ตนเองเกิดความเครียดมากนัก เพราะความเครียดก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความดันสูงได้ ควรหาวิธีผ่อนคลายให้กับร่างกายบ่อย ๆ จะช่วยให้ไม่เกิดความดันสูงได้
4. ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะความดันสูงที่ต้องรักษาด้วยการทานยาควรทานยาอย่างสม่ำเสมอตามที่แพทย์สั่ง เพื่อจะได้ช่วยลดความดันให้กลับมาเป็นปกตินั่นเอง
5. น้ำหนักถือเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงเป็นอย่างมาก เพราะหากมีน้ำหนักเกินเกณฑ์จะทำให้เกิดความเสี่ยงเป็นความดันสูงได้ง่ายกว่าคนที่มีน้ำหนักปกติ เพราะฉะนั้นควรควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความดันบ่อย ๆ นั่นเอง
6. หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ เพราะนี่เป็นสาเหตุหลักที่จะทำให้เกิดความดันสูงได้เช่นกัน

ก็ได้รู้กันไปแล้วว่า ค่าความดันปกติ ของเรานั้นเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นแม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงการวัดค่าความดันด้วยเครื่องวัดความดันก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันไม่ให้หเกิดโรคความดันสูงได้ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เราได้รู้ว่าร่างกายมีค่าความดันที่ผิดปกติเราจะสามารถรรับการรักษาได้อย่างท่วงทันและถูกต้อง เรียกว่าหากเป็นการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็อาจทำให้โรคหายขาดได้นั่นเอง